กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า หนี้สินทั่วโลกจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 13% แตะระดับ 96.4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ปี 2563 เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ทำให้ผู้คนใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แต่รายได้ลดลงอย่างหนัก
วิเตอร์ กาสปาร์ ผู้อำนวยการแผนกกิจการการคลังของ IMF กล่าวในงานแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเพื่อเปิดตัวรายงาน Fiscal Monitor ซึ่งมีขึ้นบนระบบออนไลน์ว่า การแพร่ระบาดและมาตรการล็อกดาวน์ที่ตามมา ส่งผลให้หนี้สินเพิ่มขึ้นและขาดดุลมากขึ้นมากกว่าที่เคยเกิดขึ้นสมัยวิกฤติการเงินโลก
“การปรับตัวเพิ่มขึ้นของหนี้สินเป็นผลพวงที่เกิดขึ้นเป็นปกติจากมาตรการทางการคลังที่กำหนดขึ้นเพื่อสู้โรคระบาด” กาสปาร์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัว “เมื่อการแพร่ระบาดบรรเทาลงและเศรษฐกิจฟื้นตัว ซึ่งหวังว่าจะเป็นเช่นนั้นในปี 2564 อัตราหนี้สินสาธารณะก็ควรจะกลับมาทรงตัวอีกครั้ง”
นายกาสปาร์ ได้เรียกร้องให้เหล่าผู้กำหนดนโยบาย “ทำทุกอย่างที่ทำได้” ในช่วงเวลาฉุกเฉิน แต่ “อย่าลืมเก็บบันทึกการใช้จ่ายทั้งหมดด้วย”
นายกาสปาร์ เปิดเผยว่า ประเทศต่าง ๆ ได้ใช้มาตรการทางการคลังรวมกันถึงประมาณ 8 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดและความเสียหายต่อเศรษฐกิจ โดยมีกลุ่ม G20 เป็นผู้นำ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 เม.ย. 63)
Tags: IMF, กองทุนการเงินระหว่างประเทศ, วิเตอร์ กาสปาร์, หนี้สาธารณะ, หนี้สิน, เศรษฐกิจโลก, โควิด-19, ไอเอ็มเอฟ