พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ผ่านระบบ Video Conference ซึ่งนายกรัฐมนตรีขอให้หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการแต่ละด้านได้ประสานงานกันอย่างใกล้ชิด ให้รัฐมนตรีทุกกระทรวงนำนโยบายไปช่วยปฏิบัติ
โดยย้ำว่า ไม่ได้ลดทอนอำนาจรัฐมนตรี เพียงแต่ต้องการให้มีการบูรณาการการทำงานร่วมกัน และขอควบคุมภาพรวมการทำงานอย่างใกล้ชิด โดยการแก้ปัญหาประเด็นนี้ประกอบด้วยข้อมูลที่มีจำนวนมาก ขอให้เกิดความกระชับผ่านการบริหารจัดการข้อมูลที่ ศบค. เพื่อการวิเคราะห์ตัดสินใจนำมาใช้ในการประชาสัมพันธ์ได้ทันที
ด้านการประกาศเคอร์ฟิวยังเป็นไปตามประกาศเดิม 22.00-04.00 น. และมีข้อยกเว้นตาม พ.ร.ก. กำหนด ทั้งนี้ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานเพื่อแจ้งให้ประชาชนที่เกี่ยวข้องทราบ ขอดำเนินการตามมาตรการที่ได้ประกาศไปก่อน
สำหรับประเด็นหน้ากากอนามัย หน้ากากอนามัยแบบปกติ มีกำลังการผลิตได้เพิ่มเป็น 2 ล้านชิ้นต่อวันแล้ว ซึ่งเชื่อว่า พอจะลดปัญหาขาดแคลนได้บ้าง ส่วนหน้ากาก N95 และชุด PPE ยังมีปัญหาต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ โดยรัฐบาลจะเร่งดำเนินการเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข อย่างไรก็ดี การผลิต N95 มีมาตรฐานการผลิตที่อาศัยหลายปัจจัย และต้องผลิตให้ได้มาตรฐาน
ด้านมาตรการทางเศรษฐกิจ ขอบคุณทุกหน่วยงานที่ทำงานอย่างหนัก และทำให้เกิดผลในการช่วยเหลือประชาชน อย่างไรก็ดี การดำเนินการต้องผ่านมาตรการที่ถูกต้องตามระเบียบ หากไม่ถูกต้องจะต้องส่งเงินคืน และมีมาตรการลงโทษตามกฎหมาย และหากกฏหมายตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่เพียงพอที่จะใช้ลงโทษต้องปรับเพิ่ม โดยนายกรัฐมนตรีขอให้ศึกษาวงเงินที่ใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจากทั่วโลก ให้พิจารณาตั้งคณะทำงานอย่างละเอียดรอบคอบ
ด้านการแพทย์ นายกรัฐมนตรี สั่งการให้สาธารณสุขพิจารณาดูมาตรการต่างๆ การดูแล ติดตามเพื่อตรวจสอบ รวมทั้งสาเหตุที่มีการติดเชื้อ ตามที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาด และจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งในประเทศ และต่างประเทศ แหล่งที่มาของเชื้อต่างๆ โดยนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ตรวจสอบการคัดกรอง และรักษาในโรงพยาบาลทั้งเอกชน และโดยเฉพาะในภาคใต้ยังมีตัวเลขการแพร่ระบาด
ทั้งนี้ สาธารณสุขรายงานว่า ประเทศไทยมีอัตราการเสียชีวิต 1.26% อิตาลี 12.63% อังกฤษ 11.03% ถือว่าประเทศไทยดำเนินการได้ดี นายกรัฐมนตรีจึงได้สั่งการขอให้มีการควบคุมการดำเนินการให้ดียิ่งขึ้น ให้จำนวนลดลงได้
ในส่วนของ การเดินทางเข้า-ออกประเทศไทยมีความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ ผ่านระบบการกักตัวทั้ง State Quarantine และ Home Quarantine เป็นไปตามที่กระทรวงสาธารณสุขร่วมจัดการ เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจ และให้ความร่วมมือการคัดกรอง โดยกักกันต้องเข้มงวด ต้องมีความพร้อม ทำงานร่วมกันของทุกฝ่าย
ด้านการจัดการคัดกรองและระบบกักตัวเพื่อเฝ้าระวัง นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานจัดการไม่ให้มีปัญหา โดยผ่านการบริหารแบบบูรณาการที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลที่เดินทางมาจากประเทศเสี่ยงให้ทยอยเดินทางกลับเพื่อรัฐบาลจะได้จัดระบบที่เหมาะสมรองรับ โดยพิจารณาการ State Quarantine สำหรับผู้ที่เดินทางมาทางอากาศ และดำเนินการ Local Quarantine ให้กับกลุ่มคนที่เดินทางผ่านด่านชายแดนทางบก
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีให้พิจารณาแบ่งการเดินทางเข้าประเทศไทยเป็น 2 ประเภท คือ คนไทยที่จะเดินทางจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเสี่ยงเพื่อกลับประเทศ และชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มต้องผ่านกระบวนการ State Quarantine ที่เหมาะสม
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาการดูแลคนไทยที่พักอาศัยในต่างประเทศ แม้ว่าไม่ประสงค์จะเดินทางกลับประเทศก็ต้องดูแลให้ดี พร้อมทั้งได้สั่งการให้กระทรวงกลาโหมและมหาดไทยพิจารณาเตรียมการร่วมกันด้านการจัดการ State Quarantine โดยให้พิจารณาให้ละเอียด เพียงพอ ทั้งอุปกรณ์ บุคลากร ให้พร้อมใช้ และเป็นประโยชน์ โดยในสถานที่บางแห่งซึ่งได้ปรับเปลี่ยนใช้เป็นโรงพยาบาลในการรองรับผู้ป่วย ขอให้บันทึกแนวทางการรักษา การเตรียมรับมือสถานการณ์ ในรูปแบบต่างๆ ไว้ เพื่อเป็นประวัติศาสตร์และเป็นแนวทางหากเกิดโรคระบาดใหม่ สิ่งที่บันทึกจะเป็นเสมือนคู่มือในการดำเนินการ รวมทั้งการใช้จ่ายงบประมาณ หลักเกณฑ์การเบิกจ่าย ข้อยกเว้นตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ. โรคระบาด
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 เม.ย. 63)
Tags: COVID-19, นายกรัฐมนตรี, ประยุทธ์ จันทร์โอชา, พรก.ฉุกเฉิน, ศบค., ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19, เคอร์ฟิว, โควิด-19