นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป (MAJOR) เปิดเผยว่า บริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง แม้ว่าในช่วงนี้จะต้องปิดโรงภาพยนตร์ทุกสาขา และธุรกิจอื่น ๆ เป็นการชั่วคราว เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ตามมาตรการของภาครัฐก็ตาม เนื่องจากธุรกิจของ MAJOR เป็นลักษณะการแชร์รายได้ (Revenue Sharing) ให้กับศูนย์การค้าเพื่อเป็นค่าเช่า ซึ่งในช่วงที่ไม่มีรายได้ บริษัทก็ไม่ต้องแชร์รายได้ให้กับทางศูนย์ฯ นอกจากนี้ทางศูนย์ฯก็ได้ยกเว้นค่าเช่าให้กับร้านค้า รวมถึงโรงภาพยนตร์ด้วย โดยปัจจุบันบริษัทมีโรงภาพยนตร์ทั้งสิ้น 800 โรง
สำหรับค่าใช้จ่ายด้านค่าจ้างพนักงาน ปัจจุบันคิดเป็น 8% ของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ซึ่งถือว่าน้อยมาก ทำให้บริษัทยังมีสภาพคล่องที่ดีอยู่ จากกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ราว 2,000 ล้านบาท และมีอันดับเครดิตองค์กร และหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันอยู่ที่ระดับ A
“เราไม่ห่วงเรื่องสภาพคล่องเลย เพราะเราเป็นธุรกิจเงินสด และไม่ได้มีการลงทุนเยอะ (Over investment) รวมถึงเรายังมี EBITDA ค่อนข้างเยอะ และมีวงเงินเหลืออีกหลายพันล้านบาท”นายวิชา กล่าว
นายวิชา กล่าวอีกว่า ในช่วงการปิดให้บริการโรงภาพยนตร์ และธุรกิจอื่น ๆ นั้น บริษัทก็จะใช้เวลานี้ทำความสะอาดโรงภาพยนตร์ครั้งใหญ่ (Big Cleaning) และปรับปรุงพื้นที่ต่าง ๆ เช่น ลานสเก็ตน้ำแข็ง เป็นต้น เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการกลับมาเปิดให้บริการได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตามแม้ว่าบริษัทยังไม่สามารถประเมินได้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะกลับมาดีขึ้นเมื่อใด แต่เชื่อมั่นว่าหลังจากสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ หรือตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป บริษัทก็มีความพร้อมที่จะให้บริการกับผู้ที่เข้าชมภาพยนตร์ โดยปัจจุบันมีภาพยนตร์รอเข้าฉาย และเลื่อนฉายจากช่วงที่ปิดให้บริการอยู่จำนวนมาก ราว 6-7 เรื่อง บริษัทก็เตรียมเอามาฉายทุกเรื่อง และทุกรอบ ซึ่งน่าจะช่วยให้ธุรกิจโรงภาพยนตร์มีรายได้รองรับไปอีก 5-6 เดือน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 มี.ค. 63)
Tags: MAJOR, วิชา พูลวรลักษณ์, เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์, โรงหนังเมเจอร์