นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ผู้นำเข้าและส่งออกทองคำแท่งรายใหญ่ของไทยเปิดเผยว่า เปิดเผยว่า จากที่สมาคมค้าทองคำได้ประกาศการกำหนดราคาทองคำแท่งขายออก และราคาทองคำแท่งรับซื้อคืนมีส่วนต่าง 300 บาท จากเดิมอยู่ที่ 100 บาท
เพื่อให้การซื้อขายทองคำภายในประเทศยังสามารถดำเนินการต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ที่ทำห่วงโซ่อุปทานทองคำทั่วโลกหยุดชะงัก
เนื่องจากจากการระบาดของโควิด-19 นั้นส่งผลให้เที่ยวบินระหว่างประเทศถูกยกเลิก จึงกระทบกับการขนส่งทองคำ อีกทั้งโรงสกัดทองรายใหญ่ที่อยู่ในเมืองทิซิโนของสวิสเซอร์แลนด์ใกล้พรมแดนอิตาลีที่ผลิตทองคำราว 1,500 ตันต่อปี หรือ คิดเป็น 1 ใน 3 ของปริมาณการผลิตทั่วโลก ถูกสั่งระงับการผลิตชั่วคราวเพื่อยับยั้งการระบาดโควิด-19 ไปถึงวันที่ 29 มี.ค. และ 5 เม.ย.
ดังนั้น จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ค้าทองคำ,ซัพพลายเออร์ และผู้ผลิตที่ถือสถานะขาย (Short) ในสัญญาฟิวเจอร์สทองคำตลาด COMEX เกิดความวิตกว่าอาจจะไม่สามารถส่งมอบทองคำตามกำหนดได้ จึงเกิดการปิดสถานะขายด้วยการทำธุรกรรมฝั่งตรงข้าม คือ การซื้อคืน จึงเป็นที่มาที่ทำให้ส่วนต่างระหว่าง สัญญาฟิวเจอร์สทองคำตลาด COMEX กับ Gold Spot กว้างมากขึ้น
ขณะที่มาตรการ Lockdown ในประเทศกระทบการกำหนดราคาในตลาดทอง OTC ลอนดอน พร้อมกันนี้ความเสี่ยงจากการขนส่งทองคำ ความเสี่ยงจากการนำเข้า-ส่งออก และความเสี่ยงอันเนื่องมาจากการระงับการผลิตชั่วคราวของโรงสกัดทองส่งผลให้ส่วนต่างราคาซื้อ-ขาย ของราคาทองคำแห่งในตลาดโลกกว้างมากกว่า 20 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ดังนั้น เมื่อส่วนต่างการซื้อขายของราคาทองคำในตลาดโลกเพื่อสูงขึ้น ย่อมส่งผลให้ส่วนต่างราคาซื้อขายของราคาทองคำในประเทศเพิ่มมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ส่วนต่างราคาที่เพิ่มขึ้น ย่อมจะเป็นอุปสรรคสำหรับนักลงทุนระยะสั้นที่จะเผชิญปัญหา เมื่อซื้อแล้วต้องรอการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำมากยิ่งขึ้นจึงจะสามารถขายทำกำไรได้ ตามปกติแล้วหากค่าเงินบาทคงที่ เมื่อราคาทองคำในตลาดโลกขยับขึ้น-ลง 1 ดอลลาร์ต่อออนซ์จะส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศขยับขึ้น-ลงประมาณ 10-15 บาทต่อบาททองคำ กรณีปัจจุบันส่วนต่างเพิ่มขึ้นจาก 100 บาทเป็น 300 บาทนั่นเท่ากับว่านักลงทุนต้องรอให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นมากถึง 20-30 ดอลลาร์ต่อออนซ์จึงจะสามารถขายทำกำไรได้
ดังนั้น YLG จึงแนะนำปรับระยะของการลงทุน อาทิ จากเดิมหากเป็นนักลงทุนทำกำไรระหว่างวัน อาจปรับเป้าหมายการลงทุนเป็นระยะสัปดาห์ แต่หากนักลงทุนรับความเสี่ยงได้น้อยแนะนำรอสถานการณ์ทองคำในตลาดโลกกลับสู่สภาวะปกติ แล้วจึงกลับเข้ามาลงทุนในตลาดทองคำอีกครั้ง สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มาก รวมไปถึงนักลงทุนระยะกลางและระยะยาว แนะนำรอจังหวะการอ่อนตัวของราคาแล้วจึงเข้าซื้อสะสม
เนื่องจากมีปัจจัยบวกเพิ่มเติมที่อาจส่งผลหนุนราคาทองคำในปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกซึ่งจะสร้างแวดล้อมที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำถึงติดลบ ทำให้ต้นทุนการถือครองทองคำอยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้การอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในปริมาณมหาศาลอาจกระตุ้นความวิตกเกี่ยวกับ”ภาวะเงินเฟ้อ”พร้อมกันนี้เงินสกุลต่างๆยังมีแนวโน้มอ่อนค่า โดยเฉพาะสกุลเงินดอลลาร์อาจมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกด้วย
“เบื้องต้นหากเกิดแรงขายในตลาดทองคำ แต่หากราคาไม่หลุดโซนแนวรับ 1,554 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ประเมินว่าเป็นการอ่อนตัวลงเพื่อสะสมแรงซื้ออีกครั้ง ทั้งนี้ นักลงทุนอาจพิจารณาเข้าซื้อบริเวณดังกล่าวเพื่อหวังทำกำไรจากการดีดตัวขึ้นทดสอบแนวต้านโซน 1,671-1,703 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ที่สำคัญ คือ นักลงทุนจัดสรรเงินทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงและเงินทุนของตนเอง ที่สำคัญคือต้องมีวินัยในการลงทุน ซึ่งจะทำให้นักลงทุนสามารถลงทุนทองคำได้อย่างประสบความสำเร็จในยามที่ตลาดทองคำทั่วโลกเผชิญความท้าทายในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
นางพวรรณ์ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 มี.ค. 63)
Tags: COMEX, Gold Spot, YLG, ตลาดทองคำ, ทองคำ, พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์, ราคาทอง, วายแอลจี, วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส, สมาคมค้าทองคำ