บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) กำหนดช่วงราคาเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) เบื้องต้น 40-48 บาทต่อหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยช่วงราคาเสนอขายดังกล่าวจะมีการปรับปรุงให้เป็นช่วงราคาที่แคบลงต่อไปก่อนระยะเวลาจองซื้อ โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนไม่เกิน 1,331,000,000 หุ้น และผู้ถือหุ้นเดิมเสนอขายหุ้นไม่เกิน 360,000,000 หุ้น รวมทั้งบริษัทจะให้สิทธิผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินซื้อหุ้นภายหลังการเสนอขายหุ้นที่จัดจำหน่าย เพื่อให้ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินสามารถจัดสรรหุ้นส่วนเกินเป็นจำนวนไม่เกิน 169,100,000 หุ้น
บริษัทจะเปิดให้จองซื้อหุ้น แบ่งเป็น สำหรับผู้ถือหุ้นของ บมจ.โรบินสัน (ROBINS) ที่ตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ วันที่ 27 ธ.ค.62-3 ก.พ.63 , สำหรับบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ กรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือพนักงาน บุคคลที่มีความสัมพันธ์ ผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ และบริษัทย่อย วันที่ 29-31 ม.ค.63 และ 3 ก.พ.63 ส่วนผู้ลงทุนสถาบันและผู้ซื้อหุ้นเบื้องต้นในต่างประเทศ วันที่ 6-7 ก.พ.63 และ 11 ก.พ.63
ทั้งนี้ บล.บัวหลวง และ บล.ภัทร เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ขณะที่บริษัทอาจพิจารณาแต่งตั้งผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์เพิ่มเติม
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CRC กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) ของบริษัทและมีผลใช้บังคับเป็นที่เรียบร้อยในวันที่ 26 ธ.ค.62
พร้อมกันนี้ CRC ประกาศเดินหน้าทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ ROBINS ที่ราคาเสนอซื้อ 66.50 บาทต่อหุ้น เพื่อแลกกับหุ้น IPO ของ CRC ตามช่วงอัตราแลกหุ้นเบื้องต้นที่ 1.39 ถึง 1.66 หุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ของ CRC ต่อ 1 หุ้นสามัญเดิมของ ROBINS ในระหว่างวันที่ 27 ธ.ค.62 -3 ก.พ.63 โดยมีบล.บัวหลวง และบล.ภัทร เป็นตัวแทนในการรับซื้อหลักทรัพย์ (Tender Agent) หลังจากนั้นหุ้นของ ROBINS จะถูกเพิกถอนออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) พร้อมกับหุ้น IPO ของ CRC เริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ
CRC เป็นผู้นำธุรกิจรีเทลในประเทศไทย เป็นผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเวียดนาม และเป็นผู้ประกอบธุรกิจห้างสรรพสินค้าระดับไฮเอนด์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอิตาลี ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งจากการเป็นผู้นำด้าน Customer-Centric Omnichannel ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ผสมผสานจุดเด่นที่ดีที่สุดของออนไลน์และออฟไลน์เข้าไว้ด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ นำไปสู่มาตรฐานใหม่ของประสบการณ์ช็อปปิ้งที่สมบูรณ์แบบ สามารถนำเสนอสินค้าและบริการตรงตามความต้องการเฉพาะลูกค้าแต่ละราย ที่พร้อมสร้างยอดขายได้ทุกที่ทุกเวลาทุกช่องทาง
CRC มีแบรนด์ค้าปลีกชั้นนำในเครือ อาทิ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ซูเปอร์สปอร์ต เซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้งกรุ๊ป เพาเวอร์บาย ไทวัสดุ ท็อปส์ แฟมิลี่มาร์ท โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ ในประเทศไทย รวมไปถึงบิ๊กซี/GO! เหงียนคิม ลานชีมาร์ท ในประเทศเวียดนาม และรีนาเชนเต ห้างสรรพสินค้าระดับไฮเอนด์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศอิตาลี
“โดยตลอด 3 ปีที่ผ่านมา คณะผู้บริหารของ CRC ซึ่งมีส่วนผสมที่ลงตัวจากทั้งครอบครัวจิราธิวัฒน์และทีมผู้บริหารมืออาชีพที่มากด้วยประสบการณ์ได้ร่วมกันวางโครงสร้างธุรกิจค้าปลีกของกลุ่มเซ็นทรัลใหม่ (New Central New Retail) จนมีความพร้อมอย่างถึงขีดสุดในการต้อนรับนักลงทุนให้มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งเพื่อต่อยอดความสำเร็จบนเวทีระดับโลกไปกับเรา ผ่านรูปแบบธุรกิจค้าปลีกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ CRC ที่รวบรวมแบรนด์ค้าปลีกชั้นนำหลากหลายประเภท (Multi-category) ใน 3 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มแฟชั่น กลุ่มฮาร์ดไลน์ และกลุ่มฟู้ด หลากหลายรูปแบบและช่องทาง (Multi-format) ที่ครอบคลุมทั้งในและต่างประเทศ (Multi-market)”นายญนน์ กล่าว
ณ วันที่ 30 ก.ย.62 และรายงานจาก Euromonitor International ระบุว่า CRC เป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกผ่านรูปแบบที่หลากหลายที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีร้านค้าทั้งหมดประมาณ 1,922 ร้านค้าใน 51 จังหวัดทั่วประเทศ นอกจากนี้ CRC ยังขยายความสำเร็จไปยังต่างประเทศ โดยเป็นผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าระดับไฮเอนด์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศอิตาลี รวมทั้งสิ้น 9 สาขา
และยังเป็นผู้ประกอบการค้าปลีกข้ามชาติและค้าปลีกประเภท Hypermarket อันดับ 1 ในรูปแบบใหม่ที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในประเทศเวียดนาม ด้วยร้านค้าในรูปแบบต่าง ๆ จำนวน 133 ร้านค้า ใน 40 จังหวัด โดย CRC อยู่ในสถานะที่ดีในการจะก้าวเข้าสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจค้าปลีกหลากหลายรูปแบบที่ประสบความสำเร็จที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในภูมิภาคอื่น ๆ
ผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 62 CRC มีรายได้รวม 159,506 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 6,298 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 4.1% จากรายได้รวมในช่วงระยะเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า
นายญนน์ กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อใช้เป็นเงินทุนในการขยายสาขาทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ รวมถึงการปรับปรุงสาขาต่าง ๆ อาทิ การขยายสาขาใหม่ของห้างสรรพสินค้าโรบินสัน และ โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ , การขยายสาขาของไทวัสดุ ,การขยายสาขาของบิ๊กซี/GO! ในประเทศเวียดนาม ,การปรับปรุงสาขาต่าง ๆ ของแต่ละกลุ่มธุรกิจ และการชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน เพื่อโอกาสในการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมุ่งขยายความสำเร็จในระดับโลกอย่างมั่นคงในระยะยาว
ทั้งนี้ CRC มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินรวมภายหลังจากหักภาษี และการจัดสรรทุนสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายและ CRC กำหนดไว้ในแต่ละปี
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 ธ.ค. 62)