เด็กเกิดใหม่ในญี่ปุ่นลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 62

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ ของญี่ปุ่น เปิดเผยว่า เด็กทารกที่เกิดในปี 2562 ลดจำนวนลงสู่ระดับต่ำกว่า 900,000 คน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ที่มีการเก็บสถิติมาตั้งแต่ 120 ปีที่แล้ว

กระทรวงระบุว่า จำนวนทารกเกิดใหม่ของญี่ปุ่นในปี 2562 อยู่ที่ประมาณ 864,000 คน ลดลง 54,000 จากปีที่แล้ว ขณะที่จำนวนประชากรที่เสียชีวิตในปี 2562 อยู่ที่ 1,376,000 คน ซึ่งเท่ากับมีส่วนต่างของทารกเกิดใหม่และผู้เสียชีวิตอยู่ถึง 512,000 คน นับเป็นช่วงห่างที่กว้างสุดตั้งแต่มีการจดบันทึกมา

ทั้งนี้ อัตราการเกิดที่ลดลงอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ญี่ปุ่นอาจต้องเผชิญความยากลำบากในการแบกรับภาระเงินบำนาญและสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของประชาชนในปีต่อ ๆ ไป

ที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นได้ใช้ความพยายามอย่างหนักในการเพิ่มตัวเลขอัตราการเจริญพันธุ์ (Fertility Rate) ให้เป็นไปตามเป้าหมายซึ่งกำหนดไว้ที่ 1.8 ภายในปีงบประมาณ 2568 พร้อมออกมาตรการสนับสนุนการเลี้ยงเด็กและการจ้างงานคนรุ่นใหม่ เพื่อจูงใจให้ประชาชนมีบุตรกันมากขึ้น

ทั้งนี้ อัตราการเจริญพันธุ์ ซึ่งเป็นมาตรวัดค่าเฉลี่ยการให้กำเนิดบุตรต่อประชากรที่เป็นผู้หญิงในญี่ปุ่น เมื่อปรับตามรายอายุและหมวดอายุของสุภาพสตรีแล้ว อยู่ที่ 1.42 ในปี 2561 ที่ผ่านมา

รายงานยังระบุอีกว่า จำนวนคู่แต่งงานใหม่ในปี 2562 ลดลง 3,000 คู่ ทะลุระดับต่ำกว่า 583,000 คู่ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์หลังสงครามโลก ขณะที่คู่แต่งงานที่มีการหย่าร้างในปี 2562 เพิ่มขึ้นประมาณ 2,000 คู่ แตะที่ 210,000 คู่

ทารกเกิดใหม่ในญี่ปุ่นลดลงจำนวนลงจากระดับ 1,247,000 คนในปี 2532 คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 30% ในระยะเวลา 30 ปี โดยในช่วงปี 2560 และ 2561 ที่ผ่านมา จำนวนการเกิดของทารกลดลงราว 28,000 คนต่อปี

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้อัตราการเกิดของทารกในญี่ปุ่นลดน้อยลง เป็นผลมาจากจำนวนประชากรหญิงวัยเจริญพันธุ์ที่ลดลงต่อเนื่อง โดยข้อมูล ณ วันที่ 1 ก.ค. พบว่า ประชากรหญิงที่มีอายุอยู่ในช่วง 30 ปี มีอยู่จำนวน 6.83 ล้านคน ขณะที่ประชากรหญิงที่มีอายุอยู่ในช่วง 20 ปี อยู่ที่ 5.77 ล้านคน

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ประชากรในญี่ปุ่นเริ่มลดจำนวนลงเป็นครั้งแรกในตั้งแต่ปี 2548 โดยที่อัตราการเสียชีวิตของประชาชนแซงหน้าอัตราการเกิด แม้จะเริ่มฟื้นตัวขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ แต่อัตราการลดลงของประชากรยังคงมีแนวโน้มดำเนินต่อไปเป็นปีที่ 13 ติดต่อกัน นับตั้งแต่ปี 2550

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 ธ.ค. 62)

Back to Top