สื่อต่างประเทศรายงานการเปิดเผยของดอยซ์ แบงก์ว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในปีนี้ โดยมีมูลค่าตลาดรวม เพิ่มขึ้นมากกว่า 17 ล้านล้านดอลลาร์
นายทอร์สเทน สล็อค หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของดอยซ์ แบงก์ ซีเคียวริตีส์ เปิดเผยว่า มูลค่าของตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงต้นปีนี้อยู่ต่ำกว่า 70 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ปัจจุบันมูลค่าตลาดสูงเกินกว่า 85 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว
ดอยซ์ แบงก์ระบุว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกได้แรงหนุนจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย และสถานการณ์ทางการเมืองทั่วโลก
ขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกได้ใช้มาตรการผ่อนคลายซึ่งช่วยหนุนตลาด โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 3 ครั้งในปีนี้ ส่วนธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากระดับที่ติดลบอยู่แล้วลงอีก
แนวโน้มการค้าโลกที่มีความชัดเจนมากขึ้นก็ได้ช่วยหนุนตลาดหุ้นทั่วโลกด้วยเช่นกัน โดยสหรัฐและจีนเองสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรกได้แล้ว และคาดว่าจะมีการลงนามข้อตกลงดังกล่าวในช่วงต้นปีหน้า
นอกจากนี้ สภาผู้แทนราษฏรสหรัฐยังได้อนุมัติข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) ด้วย
ส่วนตลาดหุ้นยุโรปนั้น ได้แรงหนุนจากชัยชนะอย่างท่วมท้นของพรรคอนุรักษ์นิยมในการเลือกตั้งทั่วไปของอังกฤษในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าจะทำให้นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ มีอำนาจในการเจรจาเรื่องการแยกตัวออกสหภาพยุโรป (Brexit)
อย่างไรก็ตาม มูลค่าการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่มาจากตลาดหุ้นสหรัฐ โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ และดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นมากกว่า 20% แล้วในปีนี้
นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นอย่างมากของราคาหุ้นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกก็ช่วยหนุนมูลค่าตลาดหุ้นทั่วโลกเช่นกัน อาทิ หุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 80% และหุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 57% แล้วในปีนี้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ธ.ค. 62)